ป้ายภัคพลฟาร์ม

ป้ายภัคพลฟาร์ม
ภัคพลฟาร์มสุรินทร์

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เจ็บส้นเท้าขวามาหลายวันทำให้รู้ว่าสุขภาพสำคัญทีสุด

หลังจากที่มีอาการเจ็บส้นเท้าเล็กน้อยเมื่อประมาณห้าวันก่อน แล้วเราไปวิ่ง ทำให้เจ็บมากๆในวันถัดมา จนเป็นเวลาห้าวันแล้วที่ไม่วิ่งออกกำลังกายเพราะ ปวดส้นเท้าด้วย และ ด้วยอาการป่วยทางร่างกายอื่น ประกอบกับอาการขี้เกียจ และกลัวส้นเท้าจะช้ำไปมากกว่านี้เลยต้องหยุดออกกำลังกายซักพัก
นี่ขนาดเรายังหนุ่มๆอยู่นะเนี่ยะ รู้เลยว่าความไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ
เมื่อวานมีคนไข้ซึ่งเป็นโรคหอบหืดอยู่แล้วมาซื้อยาบอกว่าเมื่อวานอาการหนักมากจนต้องไปพ่นยาที่โรงบาล เพราะพ่นยา เวนโทลินแล้วหลายรอบไม่ดีขึ้น ได้เห็นยังงี้แล้วทำให้รู้ว่า อย่าประมาทในชีวิต เราไม่รู้หรอกว่า พรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาก่อนกัน ดังนั้นจงอยู่กับปัจจุบัน และทำวันนี้ให้ดี เพราะเราก็ไม่รู้อีกแหละว่า สุขภาพพรุ่งนี้มันนจะดีเหมือนวันนี้หรือไม่ การป่วยแล้วทำให้รู้คุณค่าของการไม่ป่วยขึ้นมาทันที แข็งแรงสุขภาพดีทุกท่านครับ

Razer store ประเทศไทยเตรียมพบกัน พย 58 นี้

เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากเปิดสาขาที่ไต้หวันมาแล้ว
มาเองใจตลาดเกมส์ชาวไทย สิงคโปร์เค้าฉลาดมากสร้างแบรนด์ให้คนติด เป็นการมอมเมาเยาวชนในชาติไทยอีกแบบหนึ่ง ถ้าเด็กไทยยังติดอย่างนี้ หวานคอแร้งสิงคโปร์หล่ะครับ เป็นประเทศที่ฉลาดมาก ประเทศเล็กนิดเดียวพอๆกับเกาะภูเก็ต แต่สร้างแบรนด์ได้เก่งมาก ผลิตเองก็ไม่ แค่เป็นสื่่อกลางการค้าเอง แต่กินกำไรจากแบรนด์ได้มหาศาล ดูดเงินจากเด็กเล่นเกมส์ไปได้เยอะมา
ถ้าไทยเรามีเด็กเล่นเกมส์เยอะอยู่แล้ว ประชากรเราก็เยอะกว่า เราก็สร้างแบรนด์ของเราเลย แข่งกับมันไปเลย ผมว่าเราเหมาะกว่าอีก ทั้งพื้นที่ประเทศ ทั้งเรายังเป็นศูนย์กลางของประเทศ เราทำแบรนด์ได้สบาย ที่ยังรู้ๆ เขมรชอบผลิตภัณฑ์จากไทยมากๆ ขนาดน้ำโค้กเค้ายังถามว่ามาจากไทยรึเปล่า เค้าเชื่อถือสินค้าไทย สินค้าที่ผลิตในไทยเป็นอย่า่งมาก เพราะเขมรเค้าไม่ค่อยถูกกับเวียดนามเท่าไหร่

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากันสอง

แต่สอง ไม่จำเป็นต้องมาจากหนึ่งบวกหนึ่ง
ดังนั้นชีวิตคนเราต้องมีเป้าหมาย ต้องมองที่เป้าหมายเป็นสำคัญ
ไม่ใช่เรามองแต่ตัวเรา ตัวเอง ว่าเราเป็นหนึ่งแล้ว เรารอแค่อีกหนึ่งมาเติมเต็ม
แต่ให้มองที่เป้าหมายคือสอง ตอนนี้เราอาจจะมี 0.5 เราก็ต้องการอีกเท่าไหร่ก็ว่าไปเพื่อให้ถึงเป้าหมายคือสอง
อย่ามองตัวเองเป็นหลัก

จงทำเหนือความคาดหมาย

เวลาเราจะทำอะไรให้คนอื่นเราควรจะทำให้เค้าเหนือกว่าที่เค้าคาดหมาย เพราะเราจะกลายเป็นคนสำคัญกับเค้า
ธรรมชาติเหมือนเรามองกระจก หากเราให้เค้ามากกว่าที่เค้าคาดหมายแน่นอนเค้าต้องหาโอกาสให้เรากลับมาเหนือความคาดหมายเช่นกัน

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ซัวเถาตอนที่ห้า

วันนี้ตื่นแต่เช้า (19/10/2015) ด้วยความตั้งใจจะไปเดินดูตลาด ไปตลาดก็พบว่าพ่อค้าแม่ค้าก็เหลือไม่เยอะแล้วอาจเป็นเพราะว่าสายแล้วด้วย ประมาณ เก้าโมง แดดของเมืองจีนนี่ก็แรงเหมือนกัน มีลืมเอื่อยๆแรงบ้างบางช่วงเพราะติดกับแม่น้ำ หมู่บ้านบริเวณนี้วิถีชีวิตผูกติดกับแม่น้ำ เพราะอยูติดแม่น้ำ มองลงไปในแม่น้ำยังคงเป็นขยะบ้าง อาจจะเรียกได้ว่า ไม่ได้เยอะมากหากเทียบกับบ้านเรา ร้อยเปอร์เซ็นจะเห็นขยะ ห้าถึงสิบเปอร์ ขนาดตลาดก็พอๆกับตลาดน้อยรื่นรมย์ของจังหวัดสุรินทร์ ด้วยภูมิศาสตร์ที่คล้ายๆกัน เนื่องจากตลาดแห่งนี้ติดกับโรงเรียนด้วย และ ตลาดน้อยสุรินทร์ก็ติดกับโรงเรียนเช่นกัน ของกินไม่แพงมาก อาจจะเป็นเพราะตลาดหมู่บ้านระดับตำบลอะไรทำนองนั้น คนจะรู้จักกันหมด เราเดินไปก็เหมือนคนแปลกหน้า พ่อก็แวะซื้อขนมปังกินชิ้นหนึ่ง ก็ราคาสองหยวน สิบสองบาทเอง เป็นร้านแบบเบเกอรี่ทำเอง คงคล้ายๆกับร้านหนมปังยี่สิบบาทบ้านเรา แต่เก่ากว่าหน่อย เดินเลยตลาดไปก็จะเป็นโซนบ้านพักอาศัยโบราณ จะเรียกว่าชุมชนแออัดก็ไม่ได้เพราะเป็นชุมชนบ้านโบราณ ที่อยูกันแบบตระกูล หรืออยู่กันแบบหมู่บ้านหนึ่ง หนึ่งตระกูล โดยพื้นฐานคนจีนมีความคิดการเป็นอยู่คล้ายๆคนไทย คือการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ เลยเกิดลักษณะความเป็นอยู่คือ หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งแซ่ขึ้นมา คนจีนผูกผันกับการไหว้พระไหว้เจ้าเป็นอย่างมาก ทุกหมู่บ้านจะมีศาลเจ้าอยู่ มีศาลตระกูลด้วย หากเป็นศาลตระกูลจะมีการล็อคไว้ และมีคนเฝ้าอยู่ หากจะเข้าไปเยี่ยมชมศาลตระกูลต้องมีการนัดล่วงหน้า เพราะคนเฝ้าเค้าไม่ได้อยู่ตลอด พอเดินวนเสร็จรอบหนึ่ง ก็มายืนเล่นใกล้บ้านญาติซึ่งมีรุ่มเงาของตึกและติดแม่น้ำเลยลมเย็นดี ลูกสะใภ้ญาติอาจจะขับรถตามหา เลยแวะมาทักเรา เค้าบอกว่าเค้าจะพาไปเดินห้างแก้เบื่อ แล้วเราก็เดินกลับบ้าน ญาติพาไปเดินห้างท้องถิ่น เป็นห้างแบบท้องถิ่นจริงๆ ไม่ใช่พวก โลตัส บิ๊กซี อันที่จริงไม่ค่อยเห็นห้างฝรั่งเลยในจีน อาจเป็นเพราะการกีดกันทางการค้ารึเปล่าไม่แน่ใจ ถ้าเมืองไทยบ้านเราเปิดเต็มแล้วแหละ เป็นห้างท้องถิ่นที่ของค่อนข้างครบ ทั้งของกินของใช้ เครื่องสำอาง แต่มีแค่ชั้นเดียว เปรียบเทียบคงเหมือนร้านเมย์ ในจังหวัดสุรินทร์ครับ ผมก็เดินดูตามปกติไม่ได้มีอะไรติดมือกลับ ญาติกับหลานก็ซื้อเยอะแยะเต็มรถเข็น กลับบ้านก็นั่งพักผ่อน ญาติบอกว่าจะพาไปเที่ยวห้างในเมือง ก็แวะไปญาติอีกคนทีคอนโด เค้าก็ต้อนรับดี ดูเค้าเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วสำหรับเดินทาง แต่หลานๆบ้านญาติซนมาก วิ่งเล่นวุ่น เป็นคอนโดขนาดใหญ่ คาดว่าใหญ่กว่า ร้อยห้าสิบตรม. ค่อนข้างหรูหรา มีกล้องวงจรปิดพร้อมสรรพส่องหน้าประตูชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดี ไปเจอกับหลานสาวและหลายชาย แล้วก็พากันไปห้างในตัวจังหวัดซัวเถา ตัวจังหวัดซัวเถา มีภูมิศาสตร์และความเจริญเทียบเท่ากรุงเทพบ้านเราก็ว่าได้หากเทียบด้วยสายตานะครับ ตึกรามบ้านช่อง ก็ประกอบด้วยตึกสูงมากมาย มีท่าเรื่อขนาดใหญ่ มีสะพานแขวง พอไปถึงห้าง ก็ไปจอดรถชั้นใต้ดินของห้าง ทีจอดรถก็มีที่จอดรถสองชั้น แบบ โครงเหล็กให้เห็นบ้าง แต่ไม่เห็นตอนที่มันใช้งานว่าเป็นยังไง สิ่งที่ทำให้ต้องแปลกใจคือ การฉี่ใส่ขวดของเด็ก เป็นเรื่องปกติ ทำไมเค้าขี้เกียจเข้าห้องน้ำกันเนาะ ห้างนี้ส่วนใหญ่เห็นวัยรุ่นในเมืองมาเดินเยอะมาก ลืมบอก ห้างนี้ชื่้อห้างซันนิ่ง ดูจากลักษณะแล้วเป็นห้างใหม่มาก และวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็มาเดินเป็นคู่ ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เปรียบเทียบแล้วคนเดินห้างเยอะกว่าบ้านเรา(โรบินสันสุรินทร์)เยอะมาก คนเดินเยอะครับ บันไดเลื่อนแทบไม่ว่าง เดินไปก็ไปดูยูนิโคลว่ก่อนเลย ชอปใหญ่มากพอๆกับ เอ็มควอเทียเลย แล้วก็เดินไปเรื่อย ญาติค่อนข้างเอาใจพ่อผมมาก เพราะมีศักเป็นอาเจ็กของพวกเค้า พ่อผมต้องการอะไรเค้าจะซื้อให้ พ่อผมเลยเกรงใจไม่กล้วซื้อเยอะ ได้แค่ชุดให้หลานสาวตัวเดียว พอเดินได้ซักรอบ ก็ไปโซนร้านอาหารซึ่งอยุ่ชั้นบนสุด ก็ ไปเลือกเมนูกัน พ่อผมแกอยากกินเป็ดอยู่แล้วก็เลยสั่งเป็ด สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุด ในร้านอาหารในห้างคือการไม่มีน้ำแข็ง แต่อาหารร้านนี้อร่อยมากเหมือนเป็นแบรนด์เฟรนไชส์จากฮ่องกงมั้ง มีโอกาสจะไปกินอีก พอกินเสร็จก็ แวะซื้อไอติมที่มีควันเป็นแบรนด์จาก สิงคโปร์ ก็งั้นแหละ เสียเวลารอตั้งนาน พอรอไปติมเสร็จ ไปรอ ชา gong cha อีกซักพักก็เดินไปขึ้นรถกลับ นึกว่าจะพากลับบ้านเลยแต่พาแวะสวนสาธารณะของเมือง ค่อนข้างเป็นแลนด์มาร์คของเมืองเหมือนกัน เปรียบได้เสมือน สวนลุมมั้วครับ มีผู้คนเยอะเหมือนกันแต่ประเด็นคือมันมืดมาก ตำรวจตรวจตราก็ไม่ค่อยเยอะ มืดชนิดทีว่าใช้แฟลสแล้วยังไม่ค่อยสว่างเลยครับ ต้องถ่ายประชิดแบบไม่เกิน เมตรถึงจะสว่างใช้ได้ เสร็จก็กลับบ้านบ้านกัน รอบๆสวนเหมือนจะเป็นที่เอกชน มีโต๊ะน้ำชาให้เช่านั่งจิบ แต่ไม่มีเวลานั่งจิบหรอกเลยขึ้นรถกลับ โอเครวันนนี้พอแค่นี้หมดวันพอดี กับวันเดินห้าง

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ซัวเถาตอนที่สี่

ไปบ้านญาติที่เมืองจีนครั้งแรก
อธิบายที่ตั้งของบ้านก่อน ตั้งอยูที่ตำบลเอี่ยมเต็ง อำเภอเฉ่าหนาน จังหวัดซัวเถาครับ
หลังจากินข้าวเสร็จก็ไปบ้านญาติครับ
เป็นตึกสี่ชั้น สามคูหา ไม่มีชั้นลอย พอถึงก็ขึ้นห้องนอน พบว่าญาติเตรียมห้องให้แล้ว ซึ่งอยู่ชั้นสาม ในห้องนอนประกอบด้วยเตียงสองเตียงมีมุ้งด้วย ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะวางของ มีที่แขวนเสื้อ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้เนื้อแข็งซะส่วนใหญ่ อาจจะเป็นเพราะข้างซ้ายของบ้านเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ไม้ ด้วยมั้งครับ เลยมีเฟอร์เยอะมา ด้านขวาของบ้านเป็น ร้านขายอุปกรณ์สำหรับโรงงานทอผ้า ห้องน้ำของที่นี่โอเคดีครับมีระบบน้ำร้อนน้ำเย็นแต่ก็อุณหภูมิก็ไม่ได้เป๊ะมาก พอเอาของฝากฝากญาติเสร็จเรียบร้อยก็นั่งเคยกับนิดหน่อยอาบน้ำนอน เป็นอันเสร็จวัน ด้วยการที่เมืองจีนเวลาเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมงทำให้เสียเวลานอนไป หนึ่งชั่วโมงฟรีๆ นอนเกือบตีสอง ตื่นประมาณ สิบโมงเช้าแหนะเพราะความเหนื่อยมากในการเดินทางแบบต่อเครื่อง
เช้าวันแรกที่เอี่ยมเต็ง
ตื่นมาก็อาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วก็ลงไปชั้นสองก็กินข้าว การกินข้าวของคนจีนจะไม่มีน้ำบนโต๊ะนะครับ แปลกมาก ต้องกินให้เสร็จแล้วค่อยไปกินน้ำที่ห้องครัว ข้าวต้มนี้เป็นอาหารหลักของคนจีน รองลงมาก็เป็นข้าวสวยปกติแล้วก็พวกรากบัวต้ม พอกินเสร็จผมก็ไปดูโรงงานเป็นตึกห้าชั้นที่ญาติสร้างเพื่อโรงงาน เพื่อใช้เช่าทำโรงงาน เป็นตึกโรงงานห้าชั้น แล้วก็มีห้องประชุมด้วยในแต่ละชั้น ญาติพาเดินดูด้วยความภูมิใจ คนที่พาเดินดูเป็นลูกชายของอาแปะ
ช่วงบ่ายทีเอี่อมเต็ง
หลังจากดูโรงงานเสร็จ ก็พาไปบ้านเก่า พาไปหาอาม่าเมืองจีน ซึ่งห่างจาก บ้านใหม่ของญาติแค่ประมาณหนึ่งกิโลเท่านั้นเดินก็ถึง ลักษณะของบ้านก็อยู่กันแบบหมู่บ้าน อารมณ์บ้านนอกบ้านเรานี่แหละแต่วัสดุบ้านดีกว่าเท่านั้นเอง ใช้หินทำให้เลยทำให้คงทนอยู่ได้เป็นร้อยปี มีพื้นที่บ้านตรงกลางทำกิจกรรมต่างๆรุ่วมกันระหว่างคนในครอบครัว ห้องนอนก็จะอยู่ในสุดของบ้านติดกับโซนรับแขก แล้วก็มีห้องเก็บของ ห้องครัว และห้องต่างทะลุหากันเกือบหมด พอถึงบ้านก็นั่งฟังพ่อคุยกับอาม่าเมืองจีน เราก็นังฟังอย่างเดียว ถ่ายรูปไปเรื่อย เพราะตั้งใจจะเก็บบรรยากาศในการพบกันครั้งแรกของผม พ่อ และอาม่าเมืองจีน ก็ใช้กล้อง แอ็คชั่นแคม ถ่ายไว้เรื่อย พอสัญญาณเน็ตเร่ิมเข้าที่เข้าทาง ก็ลองโทรวีดีโอคอลกับแมนดู พบว่าสัญญานใช้ได้เลยทีเดียว  แล้วก็นั่งคุยกันต่อ ซักพักแมนก็โทรมาจากบ้านอาม่า แมนไปบ้านอาม่า ก็เลยเป็นครั้งแรกที่อาม่าเมืองไทยได้เห็นหน้าอาม่าเมืองจีน การนั่งคุยก็มีเพื่อนบ้านอาม่านั่งคุยด้วยแล้วก็แซวกันยังกะวัยรุ่นแซวกัน อาม่าเมืองจีนก็พูดว่า "อั๊วเก็กซิมอะ" การคุยวีดีโอคอลก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร พอคุยได้ซักพัก ก็บ่ายแก่ๆละ ก็เดินไปบ้านใหม่ ไปถึงก็กินข้าวกับอาม่าเมืองจีน ตามสไตล์คนจีนครับ เอะอะเรียกกินข้าว พอตกเย็น หลานๆกลับจากโรงเรียนดื้อมากทั้งสามคน โดนเฉพาะคนโตกับคนกลาง ตามติดเราอย่างเดียวอยากเล่นเกมส์อย่างเดียว เพิ่งมารู้ทริคทีหลังว่าถ้าให้โทรศัพท์ไปเล่นเกมส์เลยก็จะไม่ตามติด และมันติดตรงที่เราต้องใช้มือถือบ้าง หนิสิครับ ก็เลยดึงโทรศัพท์ไว้นานเหมือนนกัน วันนี้ก็ไม่มีไรมาก ตึกดึกก็เข้านอน นอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้เช้ามีแพลนจะไปเดินเล่นตลาด

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ครั้งแรกในชีวิตที่ซัวเถา ตอนที่สาม

นอกเรื่องนิดหน่ยอครับ
เพิ่งรู้ว่าที่ตัวเองอยู่เค้าเรียกว่า เอี่ยมเต็ง ถ้าเปลียนเสมือนว่า ซัวเถาคือจังหวัด เฉาหนาน คืออำเภอ ผมก็คงอยูตำบลเอี่ยมเต็ง ครับผม โอเคพูดเรืองที่อยู่แค่นี้ก่อนนะครับผม
หลังจากได้เหรียญโดยสารรถไฟใต้ดินมาแล้ว
ผมก็ได้เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ภาพรวมของระบบเค้าค่อนข้างดีอาจจะถอดแบบระบบของญี่ปุ่นมาก็เป็นได้ ภาพรวมระบบดี แต่คนที่ใช้บริการไม่ค่อยเป็นระเบียบ มีั้งเรื่องของการแซงคิว ชนกัน แย่งกันขึ้นลง ผมค่อนข้างเดินลำบากนิดหน่งเพราะแบ็คแพ็คไปเลยเหนื่อยหน่อยในการเบียดเสียด จุดหมายที่ซื้อตั้วตอนแรกคือ canton tower แต่เพ่ิงมารู้ว่า ไม่ใช่รถไฟทุกขบวนจะไปถึง แคนตันทาวเวอร์ ผมต้องไปต่อรถอีกขบวน แต่ด้วยปัจจัยเร่งด้านเวลาทำให้ผมตัดสินใจไม่ไปต่ออีกขบวนเพื่อไป แคนตัน เลยขอหยุดที่สถานีสุดท้าายของขบวนนั้น ชื่อสถานีอะไรจำไม่ได้เหมือนกัน แต่ที่จำไดู้ขึ้นไปถึงชั้นพื้นดินแล้ว ก็เห็นโรงแรม sheraton เลยขึ้นไปดูบ้านเมืองเค้าหน่อย เพื่อเป็นประสบการณ์ความรู้ ก็เดินไปเรื่อยๆครับ แวะซื้อหมั่นโถกิน เพื่อกะว่าจะลองกินแบบคนจีนดู พบว่ารสชาติไม่ได้เรื่องเลย จืดชืดไม่มีใส้เลย แต่ไม่ได้ชิมน้ำเต้าหู้เค้าพ่อกินหมดก่อน แวะนั่งกินได้ซักพัก แล้วก็เดินต่อ โดยเดินเล่น ไปตามตรอกซอกซอย พบเห็น คอนโดเก่า ภาพแห่งฮ่องกงลอยมาเลยครับ อาจจะถอดแบบหรือได้แรงบันดาลใจมมากจาากตึกในฮ่องกงก็เป็นได้ เพราะเค้าอยู่ใกล้กัน เดินไปดูตามซอย พอว่าซอยนั้นเต็มไปด้วยร้านอาหารแบบข้างทางขายเต็มไปหมด เหมือนเป็นถนนสายอาหารก็ว่าได้ หลังจากนั้นก็เดินไปเรื่อย ก็พบกับทางลงรถไปใต้ดินเลยได้โอกาสกลับสนามบินเลยเพราะกังวลเล็กน้อยกับการบินไฟลท์ถึดไป ทางลงรถไปใต้ดินมีเซเว่นอยู่เลยแวะซื้อน้ำเต้าหู้กินขวดหนึ่งแล้วเดินทางกลับ สนามบิน ระวังตู้ซื้อตั๋วไม่ได้รับแบงค์ทุกตู้นะครับ สังเกตด้วย เสียเวลาพอสมควรในการยัดแบงค์ในเครื่องที่ไม่รับแบงค์ห้าห้าห้า
บินในเทศจีน
ถึงสนามบินแล้วก็ไปส่วนของเกตบินในประเทศ ของผมเป็น เกทบี ผ่าน security โดนยึด แบตสำรองไป สองก้อน โดยเหตุผลคือ ความจุบนแบตเลือนไม่รู้ว่าควาจุเกิน ลิมิตรึเปล่า ระวังกันด้วยเรื่องนี้ หรืออาจเพราะคนตรวจเป้นผู้ชายด้วยมั้งเลยโหดเป็นพิเศษ หรือเค้านึกว่าผมเป็นผู้ต้องสงสัยขนาดนั้นเลยหรอ พอผ่านด่านตรวจด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก ทั้งเหนื่อย ทั้งเสียดายแบตสำรอง ทั้งนอนน้อย ทำให้ไม่ค่อยมีอารมณ์สู้ดีนัก ประกอบกับ การทีหาเกตของเครื่องบินไม่เจอซักทีเพราะ หน้าจอไม่แสดงซักที เลยเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยแล้วเดินไปถามพนักงาาน เค้าก็ตอบภาษาอังกฤษไม่ได้อีก แนะนำให้ไปพนักงานประจำเกตที่เปิดเลยเค้าจะพูดอังกฤษได้บ้าง พอเกตพร้อมแล้วก็ไปที่เกตปรากฎว่าเจอปัญหาใหม่ เปลี่ยนเกตกะทันหันครับ มีงี้ด้วย ดีใกล้กันแค่สองเกต กว่าจะได้ข้นเครื่องเลยเวลาบอร์ดดิ้งบน ใบบอร์ดดิ้งเกือบชั่วโมง พอได้ขึ้นเครื่องเจอปัญหาในตำนานสนามบินจีนคือ เรื่องดีเลย์ เพ่ิงเคยเจอที่นี่แหละนั่งรอเครื่องบินออกในสนามบิน แล้วในเครื่องบินยังร้อนอีกต่างหาก รอเกือบชั่วโมงกว่าจะบิน สรุปถึงจี้หยางประมาณ สี่โมงเย็น เลทไป หนึ่งชั่วโมง
พบญาติครั้งแรก
แล้วก็พบว่ายังไม่มีญาติมารอรับ เลยต้องประสานให้แมน(พี่ชาย)โทรบอกอาม่า ให้อาม่าโทรหายูเกียให้ เพราะที่สนามบินไม่มี ตู้ที่หยอดเหรียญได้เลย รอประมาณสองชั่วโมงคนที่มารับก็มาถึง พบว่าเป็นชายรูปร่างผอม ทราบทีหลังว่าอายุ สามสิบสามปี มากกว่าผมไม่กี่ปีเอง คือเป็นเจนเนเรชั่นร่วมกับผม เค้ามาถึงก็มาลากกระเป๋าให้พ่อ แล้วก็พาไปที่รถ ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อพบว่า รถที่มารับเป็นรถบีเอ็ม ซึ่งเป็นครั้งที่สองที่ผมได้นั่งบีเอ็มของคนอื่น และตัวเองก็ไม่มีหรอกครับ พาไปจนถึงซัวเถา ก็พาไปกินภัตตาคารอาหารจีน หรูหรามากๆ ประทับใจมากๆที่พามากินซะหรูหรา เป็นภัตตาคารที่เน้นอาหารทะเลเป็นหลัก ด้วยการที่ซัวเถาเป็นเมืองท่าเรือ อาจจะมีอาหารทะเลเยอะเป็นทุนเดิม แต่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ มีแต่สัตว์แปลกๆ ให้เลือกกินมากมาย โชว์ตัวเป็นๆให้ดูเลยครับ ผมก็เสียดายที่ผมไม่กล้าถ่ายรูปมาดูด้วย เพราะอายและเกรงใจญาติ ญาติพาไปนั่งกินชั้นสอง หมดไปประมาณ แปดร้อยหยวน แถมยังเหลืออาหารอยู่บ้างในตอนกลับเสียดายอยู่แต่มันอิ่มมากจนยัดไม่ลงแล้ว การกินอาหารที่นี่ พบว่า ก่อนกินอาหารจะมีถ้วยน้ำร้อนมาวางตรงกลางโต๊ะ คอยใช้ลวกช้อน ลวกถ้วย ล้วกตะเกียบ รสชาติอาหารที่มีแต่จืดจริง ไม่เค็ม ไม่เผ็ด ไม่หวาน และที่แปลกจากบ้านเราสุดๆคือภัคตาคารเค้าไม่มีน้ำแข็งครับ และอีกอย่างน้ำที่เสริฟก็เป็นน้ำสีขาวออกแนวสีเหมือนน้ำนม แต่รสชาติจะคาวก็ไม่คาวหวานก็ไม่หวานรสชาติไว้ตัดเลี่ยน คืนนี้พอแค่นี้ก่อนครับ สวัสดี ง่วงแล้ว

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ครั้งแรกในชีวิตที่ซัวเถา (ต่อ)

มาต่อกับเรื่องสนาบินกวางเจากันต่อ
สนามินกวางเจาใหญ่มาก ครั้งแถวพูดถึงตรงนี้นะครับ
ทุกสนามบินแหละครับ จะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วน inter กับส่วน domestic สนามบินผมพบว่าส่วนโดเมสติกนั้นใหญ่มากเพราะกวางเจานั้นเป็นเสมือนศูนย์กลางการบินในประเทศของจีนก็ว่าได้เพราะด้วยตำแหน่งที่ตั้งอยูกึ่งกลางประเทศ ด้วยเหตุนี้จะพบว่าจะมีผู้โดยสารฝั่งบินในประเทศเป็นจำนวนมาก และมีการพัฒนาส่วยของโดเมสติคเป็นอย่างมาก แต่ส่วนของฝั่งนานาชาติ ดูไม่ค่อยมีผู้โดยสาร และดูทรุดโทรม สังเกตได้จากโซนตม.ซึ่งเก่าๆไงไม่รู้อ่ะ
รถไฟใต้ดินครั้งแรกที่จีน
หลงทางในสนามบินโซน นานาซาติอยู่นาน กว่าจะเจอเพราะต้องข้ามฝากไปฝั่งบินในประเทศ แนะว่าก็ไปลิฟแล้วก็กตไปชั้น -1 เออเข้าใจคิดเนาะเข้าใจง่ายดีชั้นใต้ดิน พอถึงโซนขายตั๋วก็ไปที่ตู้ซื้อตั๋วรถไฟ ก็อาศัยภาษาอังกฤษเอา เด็กรุ่นใหม่ที่นี่เริ่มพูดภาษาอังกฤษได้แล้ว ถามไปเค้าก็ตอบได้ แล้วถามพ่อแล้วก็พบว่าเค้าพูดกันเป็นภาษาแต้จิ๋ว นึกว่าเด็กรุ่นใหม่จะไม่พูดแล้วภาษาแต้จิ๋ว ห้าห้าห้า ก็ให้เค้าช่วยกดให้ แล้วก็ช่วยบอกวิธีการ การใส่แบงค์จ่ายตังก็ใส่ได้ต่ำสุด แบงค์ละสองหยวน ใส่ได้ทีละแบงค์ ใส่เสร็จ ก็ จะได้เหรียญพลาสติกแทนตั๋ว แล้วก็ไปใช้ผ่านเครื่องกั้น เป็นเสร็จขึ้นตอน แล้วก็ไปขึ้นรถไฟได้เลย โชคดีที่เราขึ้นสถานีต้นทาง คนเยอะตั้งแต่สถานีที่สองเป็นต้น ประชากรจีนเยอะมาก และในตู้รถไฟก็เช่นกัน  เยอะมากๆ  ที่ว่าคนจีนกลิ่นตัวเหม็นนี่ไมม่ค่อยจริง กลุ่นปกติ และไม่ค่อยได้กลิ่นน้ำหอมเลย แต่เรื่องกลิ่นบุหรียังได้กลิ่นอยู่ คนจีนสูบบุหรีเยอะนะตามท้องถนน ยังเยอะมากอยูเพราะค้าอาจไม่มีกฎเคร่งครัดเหมือนบ้านเราเรื่องบุหรี่
พอแค่นี้ก่อนตอนนี่ที่จีนเกือบเที่ยงคืนแล้ว ง่วงเล็กน้อย ห้าห้าห้า

ครั้งแรกในชีวิตที่ซัวเถา

วันนี้เป็นคืนที่สองที่มาอยู่ซัวเถา
ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่บนเตียงของห้องพักรับรอง ที่ทางญาติเตรียมไว้ให้
สภาพห้องดีมาก สะอาดมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าใครทำความสะอาดให้ เพราะไม่เห็นแม่บ้านเลย
คนจีนที่นี่เค้าไม่จ้างแม่บ้านกันนะส่วนใหญ่ และจะทำอะไรเอง เลยทำให้หุ่นเค้าดีแม่อ้วนลงพุง ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ขออธิบายสภาพการเดินทางมาถึงซัวเถาของผมก่อนโดยเมื่อวานตอนตีสองบินจากสุวรรณถูมิมา ถึงกวางเจาตอนประมาณหกโมงเช้าตามเวลาในจีน (เร็วกว่าในไทยหนึ่งชั่วโมง) พอถึงกวางเจาก็ผ่านตม และผ่านด่านศุลกากร นานตรงผ่านด่านตม.นี่แหละครับ เพราะคนเยอะมากประมาณด้วยสายตาก็ประมาแถวละ สิบคน มีประมาณ ห้าถึงหกแล้ว สรุปประะมาณ หกสิบคนครับที่รอ มีตมที่คอยตรวจ ทั้งหมด ประมาณอีกละ (เพราะเค้าไม่ให้ถ่ายรูป) ประมาณ สิบช่อง มีช่อวงด่วนพิเศษ หนึ่งช่องมั้ง และมีช่องแบบคนถึงสัญชาาติจีนก็เป็นช่องแบบยื่นดิจิตอล ครั้งแรกกับตม.กวางเจาก็ผ่านไปได้สวย ไม่มีปัญหาอะไร อาจจะเป็นเพราะคนตรวจเป็็นผู้หญิงด้วยมั้ง เดาเอาถ้าคุณผู้อ่านเป็นผู้ชายควรเลือก ตม.ผู้หญิงนะครับผม สรุปคือเลือกเพศตรงกันข้าม

พูดถึงด่านศุลกากร international ของกวางเจากหน่่อย ไม่ค่อยเข้มมากครับเป็นการสุ่มตรวจซะส่วนใหญ่ เพราะนักท่องเที่ยวและนักเดินทางส่วนใหญ่ ก็จะเข้าตรงช่องที่เขียนว่า nothing to declare เพราะคนไม่มีใครอยากไปช่องที่ต้องสำแดงของที่ศุลกากรแน่นอน ตอนที่เคยอ่านรีวิวคร่าวๆเห็นว่าต้องกรอกอบบฟอร์มการผ่านด่านศุลุกากรด้วย แต่จริงๆแล้วไม่ต้องนะครับ เดินผ่านได้เลยไม่ต้องเขียนอะไร ตอนก่อนมากังวลเรื่องกุนเชียงอยู่เหมือนกันเพราะอาป๊าผมเล่นขนมาตั้ง สิบกิโลโดยผมไม่รู้ แต่พอผ่านเครื่องสแกน customs เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมโดนเรียกคนทีสองหลังจาก ฝรั่งก่อนหน้า ที่มาด้วยกันสองคน สรุปผมโดนสุ่มนะครับผม

เรื่องการฝากกระเป๋า แบบ เช็คอิน ในกรณีท่านใดที่ ทรานซิทเครื่องต่อไฟลท์ โดเมสติกนะครับ ในเคสของผมคือ การเดินทางจาก กรุงเทพ กวางเจา จี้หยาง ผมต้องไปต่อโดยใช้เวบาทรานซิท ประมาณหกชั่วโมง แต่พอผ่านตม เลยเหลือเวลาประมาณ ห้าชั่วโมง แต่พอผมฝากกระเป๋าเสร็จ ผมต้องการออกนอกสนามบิน ผมก็เลยลองไปเดินหา metro ดู ปรากฎว่ากว่าจะหาได้เดินจนขาลากเพราะไปเดินผิดทางด้วย และด้วยความกังวลในเรื่องเวลาด้วยเลยหาช้าหน่อย เดินไปคนละทางเลย ต้องอธิบายอย่างหนึ่งก่อนว่า สนามบินกวางเจาเนี่ยะใหญ่มากๆ โดยเฉพาะฝั่ง